วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

การเปลี่ยนเเปลงของMadonna


จากเด็กสาวนักร้องผู้ฉีกบทบาทวงการบันเทิง
จนมีสมญานามเป็นQueen of pop
จนกลายเป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ผู้รำ่รวย
madonna louise ciccone


เรื่องราวนี้สามารถเป็นเเรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตของคุณได้
                                       
มาดอนนา ลูอิส ชีโคเน[1] (อังกฤษMadonna Louise Ciccone/ɪˈkn/ chi-koh-nay) หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปในชื่อของ มาดอนน่าเป็นนักร้องสาวแนวเพลงป็อป
ชาวอเมริกัน เป็นศิลปินที่ได้รับความนิยมมาก
 มีชื่อเสียงแพร่หลายไปทั่วทุกมุมโลก ด้วยภาพลักษณ์ที่แรง 
เป็นคนกล้า มุ่งมั่น และชัดเจน อันเป็นเอกลักษณ์ของเธอเสมอมา
 โดยเป็นนักร้องหญิงเพียงคนเดียวที่มีเพลง
ขึ้นอันดับหนึ่งมากกว่า 1
0 เพลงทั้งฝั่งอเมริกา และอังกฤษ
 และได้รับฉายาว่าเป็น"ราชินีแห่งเพลงป็อป
นอกจากความสามารถด้านการร้องเพลงแล้ว 
มาดอนน่ายังเป็นนักแต่งเพลง โปรดิวเซอร์ 
ผู้กำกับภาพยนตร์และนักแสดงอีกด้วย

ประวัติ[แก้]

ในปี 1977 เธอย้ายจากบ้านเกิดที่เบย์ซิตี้ รัฐมิชิแกน สหรัฐอเมริกา ด้วยเงินติดตัวเพียง 35 ดอลลาร์ เธอบอกให้แท็กซี่พาเธอไปที่ ที่เป็นใจกลางของทุกสิ่ง จนเธอได้มาทำงานในร้านดังกิ้นโดนัทใน นิวยอร์ก ด้วยความหวังที่ว่า สักวันนึงเธอจะต้องดังให้ได้ เธอตะเกียกตะกายมาเรื่อยๆ
จนกระทั่งปี 1979 เธอได้งานเป็นนักแสดงในคณะ ละครเสียดสีสังคม ในช่วงนั้นเธอได้รู้จักกับแดน กิลรอย (Dan Gilroy) ต่อจากนั้นไม่นานนัก ทั้งสองตัดสินใจคบกัน ในฐานะคนรัก และได้ฟอร์มวงดนตรีขึ้นมา ชื่อว่า เดอะ เบรกฟาสต์ คลับ (The Breakfast Club) เริ่มแรกมาดอนน่าเล่น กลองและในเวลาต่อมาเธอก็ได้เป็นนักร้องนำ
จนกระทั่งเธอกับแฟนเก่า สตีเฟ่น เบรย์ (Stephen Bray) ตั้งวงดนตรีขึ้นมาใหม่โดยใช้ชื่อว่าเอ็มมี่ (Emmy) แต่ด้วยความที่อยาก ออกอัลบั้ม มาดอนน่าและเบรย์จึงได้ลาออกจากวง และได้ทำเทปเดโมส่งไปให้มาร์ค คามินส์ (Mark Kamins) โปรดิวเซอร์ และดีเจ จนได้เซ็นสัญญากับไซร์ เรคคอร์ด(Sire Records) เป็นนักร้องเดี่ยว โดยมีซิงเกิลแรกคือ Everybody ที่ขึ้นไปได้ถึงอันดับ 3 ใน Billboard Dance Chart แล้วซิงเกิล Burning Up ก็ตามมาตอกย้ำความฮอท จนเธอได้ออกอัลบั้มเดี่ยวอัลบั้มแรกที่ใช้ชื่อของตัวเองเป็นชื่ออัลบั้ม เพลง Holiday เป็นเพลงแรกของเธอ ที่เข้าชาร์ท Billboard Hot100 จากนั้นมาเธอก็มีเพลงดังมาเรื่อยๆอย่าง Borderline และ Lucky Star ร่วมปูทางในเส้นทางสายดนตรีให้เธอได้อย่างสวยงาม
อัลบั้มที่สอง Like A Virgin เธอได้เปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นสาวเซ็กซี่ตามสไตล์มาริลีน มอนโร อัลบั้มนี้มีเพลงสร้างชื่ออย่างเช่น Like A Virgin,Material GirlDress You Up และ Angel และที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้คือโชว์ Like A Virgin สุดหวือหวาในงานประกาศรางวัลเอ็มทีวี วิดีโอ มิวสิก อวอร์ดส ปี 1984 (MTV Video Music Awards 1984) เธอใส่ชุดเจ้าสาวเดินควงตุ๊กตาเจ้าบ่าวตัวเท่าคนจริงเดินลงมาจากเค้กก้อนยักษ์ แล้ว กลิ้งไปมาด้วยลีลาเย้ายวนเธอได้กลายเป็นนักร้องซุปเปอร์สตาร์ที่ทั่วโลกรู้จักด้วยลุคอันจัดจ้านของเธอ มาดอนน่าสร้างสถิติอีกครั้งด้วยการพาเพลง Like A Virgin ขึ้นอันดับ 1 ยาวนานถึง 6 สัปดาห์ จนทำให้เธอได้กลายเป็นนักร้องซุปเปอร์สตาร์ที่ทั่วโลกรู้จักด้วยลุคอันจัดจ้านของเธอ เท่านั้นยังไม่พอ เธอยังไปร้อง เพลง Crazy For You ประกอบภาพยนตร์วิชั่น เควส (Vision Quest) ที่ดังจนซิงเกิลการกุศล รวมนักร้องดังของยุคอย่าง We Are The World ต้องยอมลงจากที่ 1 เชียว เธอได้เริ่มต้นเข้าสู่วงการ ภาพยนตร์อย่างจริงจังจากการได้รับบทนำใน Desperately Seeking Susan
และช่วงนั้นเองนับว่าเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตเธอ เมื่อหนังโป๊ต้นทุนต่ำของเธอเรื่อง A Certain Sacrifice ซึ่งเธอถ่ายไว้เมื่อก่อนเข้าวงการถูกออกฉาย เท่านั้นยังไม่พอหนังสือเพลย์บอยและ เพนท์เฮาส์ต่างพากันลงรูปโป๊ของเธอที่เคยถ่ายไว้ก่อนเข้าวงการ เธอแต่งงานครั้งแรกกับดาราหนุ่มฌอน เพนน์ (Sean Penn) มีหนังที่เล่นด้วยกันอย่างเรื่องShanghai Surprise แต่กลับล้มเหลวไม่เป็นท่า เส้นทางในวงการเพลงของเธอเดินทางอย่างราบรื่น เธอมีเพลงอันดับ 1 อย่าง Live to TellPapa Don't Preach และ Open Your Heart จากอัลบั้ม True Blue ที่ขายได้ ถึง 22 ล้านก๊อปปี้ อัลบั้มนี้เธอตั้งใจจะอุทิศให้สามี ในทางตรงกันข้ามชีวิตคู่ของเธอต้องจบลง เมื่อเธอและ Penn ตัดสินใจหย่าขาดจากกัน Papa Don't Preach หรือ พ่อจ๋าอย่าบ่น สร้างกระแสฮือฮามากเพราะเนื้อหาเกี่ยวกับเด็กวัยรุ่นที่ท้องก่อนเวลาอันควร แต่ก็ยังรั้นจะเก็บลูกไว้
อัลบั้มที่สี่ Like A Prayer วางแผง แน่นอน ต้องมีเพลงฮิตอันดับ 1 ซึ่งอัลบั้มนี้ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เพราะมีด้วยกันถึง 4 เพลง คือ Like A PrayerExpress YourselfCherish และ Keep It Togetherมิวสิกวิดีโอเพลง Like A Prayer ก็ช็อคแฟนเพลงอีกครั้งด้วยการนำเรื่องศาสนามาเกี่ยวกับเซ็กส์จนโดนตำหนิจากวาติกันและทำให้เป๊ปซี่ยกเลิกสัญญากับเธอทันที
ในปี 1990 เธอเริ่มต้น Blonde Ambition Tour ที่ยาวนานกินเวลาทั้งปี และมีเพลง Vogue เป็นซิงเกิลฮิตติดอันดับ 1 อีกหนึ่งเพลง ภาพยนตร์เรื่อง Dick Tracy ทำรายได้อย่างงดงามเป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จที่สุดของเธอนับจาก Desperately Seeking Susan
The Immaculate Collection อัลบั้มรวมฮิตอันแรกของเธอ มีเพลงเพิ่มมาใหม่สองเพลงหนึ่งในนั้นคือ Justify My Love ที่เธอช็อคแฟนเพลงด้วยเอ็มวีที่แรงที่สุดในชีวิตของเธอโดยมีฉากสำคัญคือตอนที่มาดอนน่าจูบกับผู้หญิงต่อหน้าแฟนหนุ่ม เอ็มทีวีแบนวิดีโอนี้โดยยกเหตุผลเรื่องความลามกอนาจารในวิดีโอ ที่มีทั้งเซ็กส์แบบชาย-หญิง, ชาย-ชาย, หญิง-หญิง เธอจึงนำเอ็มวีนี้ใส่วิดีโอออกขาย
ในปี 1992 มาดอนน่าออกหนังสือ Sex ที่รวบรวมภาพโป๊ทั้งของตัวเธอเองและคนดังมากมายหนังสือเล่มนี้ถูกวิจารณ์ในแง่ลบและถูกด่าอย่างมาก แฟนๆมาดอนน่าบางคนรับไม่ได้จนถึงขั้นเผาซีดีเลยก็มี แต่ในด้านยอดขายกลับกลายเป็นหนังสือที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก จนต้องพิมพ์ครั้งที่ 2 ภายในวันนั้นเลย ทางด้านอัลบั้ม Erotica ที่ออกพร้อมๆกับหนังสือเล่มนี้ก็ขายได้ถึง 2 ล้านก๊อปปี้
อัลบั้ม Bedtime Stories ดูเหมือนจะลดภาพความเซ็กซี่ลงจากอัลบั้มก่อน แต่ก็ยังมีเพลงฮิตอย่าง Take A Bow ส่วนเพลง Bedtime Stories และ Human Nature คงเป็นอานิสงส์จากการที่เธอลดความเซ็กซี่ เพราะสองเพลงนี้กลายเป็นสองเพลงแรกของเธอที่ไปไม่ถึงชาร์ท Top 40
ในปี 1995 เธอเปลี่ยนลุคตัวเองจากสาวเซ็กซี่มาเป็นผู้ใหญ่ในภาพยนตร์เพลงเรื่อง Evita เธอได้ให้กำเนิดลูกสาวคนแรก Lourdes Maria Ciccone Leon ในช่วงที่ภาพยนตร์เรื่องนี้กำลังออกฉายพอดีEvita ทำให้เธอได้รางวัลลูกโลกทองคำในสาขานักแสดงนำยอดเยี่ยมเป็นครั้งแรกและเพลงประกอบภาพยนตร์ทั้ง cover ของเพลง Don't Cry for Me Argentinaและ You Must Love Me ก็เป็นเพลงฮิตด้วย
3 ปีให้หลังอัลบั้ม Ray of Light เป็นอัลบั้มเต็มอัลบั้มแรกในยุคคุณแม่มาดอนน่าที่มีแนวเพลงทันสมัยขึ้นและเปิดตัวอย่างสวยงามที่อันดับ 2 ของชาร์ท
ปี 2000 มาดอนน่ากลับมาพร้อมอัลบั้ม Music และได้คลอดลูกชายคนที่สอง Rocco John Ritchie กับผู้กำกับ ชาวอังกฤษกาย ริทชี่ (Guy Ritchie) หลังจากนั้นไม่นานทั้งคู่ได้แต่งงานกันและร่วมกันกำกับมิวสิกวิดีโอ What It Feels Like for A Girl ในปีเดียวกันเธอร้องเพลงประกอบภาพยนตร์ James Bond ตอน Die Another Day
ในปีถัดมาเธอออกอัลบั้ม American Life ที่มีเนื้อหาเสียดสีสังคม และเอ็มวีก็เสียดสีจนถูกแบนอีกครั้ง โชว์ Like A Virgin/Hollywood ในงาน MTV Video Music Awards 2003 ที่มาดอนน่าร่วมแสดงกับ บริทนีย์ สเปียร์สคริสติน่า อากีเลร่า และ มิสซี เอลเลียต ก็ช็อคแฟนๆอีกครั้ง เมื่อบริทนี่ย์และคริสติน่าแต่งตัวและแสดงแบบที่มาดอนน่าเคยทำใน เพลง Like A Virgin เมื่อปี 1984 และทั้งคู่ก็จูบปากมาดอนน่าทีละคน ทำเอาจัสติน ทิมเบอร์เลค แฟนเก่าของบริทนี่ย์ มองด้วยสายตาไม่ค่อยพอใจนัก หลังจากนั้นไม่นาน ความสัมพันธ์ระหว่างมาดอนน่ากับบริทนี่ย์เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมาดอนน่าร้องเพลงร่วมกับบริทนี่ย์ในเพลง Me Against The Music
Re-Invention World Tour ของเธอกลายเป็นทัวร์ที่ได้รับคำชมมากมายและกวาดรายได้มากสุดของปี เธอช็อคแฟนเพลงด้วยการเล่นโยคะเอาขาชี้ฟ้ากลางเวที
และในปี 2005 เธอประสบอุบัติเหตุตกหลังม้าแต่นั่นก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการวางแผงอัลบั้มใหม่ Confessions On A Dancefloor อัลบั้มเพลงเปิดตัวด้วยซิงเกิล Hung Up ขึ้นอันดับ 1 ในอังกฤษเป็นเพลงที่ 11 ของเธอ
ในปี 2008 มาดอนน่ามีผลงานอัลบั้มชุดที่ 11 ชื่อชุด Hard Candy โดยมีซิงเกิลแรกคือ "กิพว์อิททูมี" (อังกฤษGive It 2 Me) , "4 Minutes" ที่ร้องร่วมกับขึ้นอันดับ 3 ในอเมริกา อันดับ 1 ในอังกฤษจัสติน ทิมเบอร์เลค[2] และในเดือนสิงหาคม ปี 2009 กับผลงานล่าสุดในอัลบั้ม Cerebration กับซิงเกิ้ลแรก Cerebration (เซละเบรทชั่น) ที่อาจเรียกได้ว่าเพื่อฉลองครบรอบ 27 ปี ในเส้นความสำเร็จทางดนตรีของเธอ มิวสิกวิดีโอเพลงนี้ไปถ่ายทำไกลถึงมิลาน ประเทศอิตาลี นอกจากนี้ยังได้ผู้กำกับรางวัลแกรมมี่ “โจนาส อเคอร์ลันด์” Jonas Akerlund ที่เคยกำกับมิวสิกวิดีโอ “เรย์ ออฟ ไลท์” Ray Of Light มากำกับมิวสิกวิดีโอเพลงนี้อีกครั้งหนึ่งด้วย
เรื่องที่คุณไม่รู้เกี่ยวกับมาดอนน่า
นบางครั้งเธอต้องร้องเพลงของศิลปินคนอื่นเช่น จอห์น เลนน่อน เช่นเพลง อิเมจิ้น(Imagine ) ใน "Re-invention Tour"  มันทำให้หยุดนิ่งทุกครั้งที่ฉันร้องเพลง "Imagine" ฉันจะมองเห็นคนแถวหน้าร้องไห้เสมอ มันเป็นแรงใจ จอห์น เลนน่อน น่าจะรับรู้ได้     
             เมื่อตอนที่เธอเป็นนักร้องใหม่ ๆ ตอนที่จอห์น เลนน่อนถูกยิง เธอเล่าว่า ฉันอยู่ที่อัพเปอร์ อีสต์ ไซด์  ในแมนฮัตตัน นิวยอร์ก ฉันจำได้ว่าตัวเองลงรถไฟฟ้าใต้ดินที่ถนนสาย 72 (ที่เกิดเหตุ) ประมาณ 2 ชั่วโมงหลังเกิดเหตุแล้ว
            และมันเต็มไปด้วยรถตำรวจ และฝูงชน มันบ้ามากทุกคนเสียใจอย่างหนัก ความรุนแรงทำให้เกิดความยุ่งเหยิงมันทำให้ประสาททุกคนเสีย
              นอกจากนั้นศิลปินหรือปราชญ์คราวพ่อคราวพี่ ที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับเธอโดยเฉพาะเธอมักเลือกเอาคนที่ยึดมั่นในหลักการอย่าง มาร์ติน ลูเธอร์ คิง  อัล กอร์ และ คานธี   ฟริด้า คาห์โล มาร์ธา เกรแฮม และ เอเลนอร์ รูสเวลท์  
             และสำหรับหนังเรื่องอเมริกัน ไลฟ์  (American Life) แล้วเธอบอกว่า ไมเคิล มัวร์ และ เช กูวารา มาเป็นแรงบันดาลใจเพราะเขาเหล่านั้นไม่กลัวที่จะแสดงความคิดเห็นของตัวเอง ที่จะพูดได้ทุกเรื่องตั้งแต่เรื่องการเมือง สิ่งยั่วยุ เรื่องเพศ อะไรถูก อะไรผิด อะไรควร ไม่ควร ผู้หญิงผู้ชายควรทำแบบนั้นแบบนี้ ส่วนเธอถ้าหากเธอเกิดเป็นผู้ชายและทำสิ่งต่าง ๆ เหมือนที่ทำอยู่ก็อาจจะไม่มีใครสนใจเท่าไหร่ 
             นอกนั้นศิลปินนักร้องรุ่นพี่อื่น ๆ ที่เธอได้เคยฟังเพลงของพวกเขาประจำ เธอบอกว่าลักษณะการร้องตอนเสียงมันถึงโน้ต เช่น โคล พอร์เตอร์  เอลวิส คอสเตลโล่   โจ เฮนรี่   สตีวี่ วอนเดอร์  แคท สตีเว่นส์  เดวิด โบวี่  ลูรี้ด   คริสซี่ ไฮน์ด  โจนี่ มิตเชลล์   อิ๊กกี้ ป๊อป  เอลตัน จอห์น  จอห์น เลนน่อน หรือ คริส มาร์ติน 
              เธอกล่าวว่า ฉันอยากให้เพลงของฉันเข้าถึงได้ เช่นเดียวกับที่มันเข้าถึงคนทั่วโลกได้  ฉันฟังเพลงตลอดเวลา เพื่อนฉันหลายคนเป็นดีเจ ฉันได้เพลงของคนจาก A&R จากผู้จัดการของฉัน หรือบางครั้งฉันก็ไปไนท์คลับ หรือเปิดวิทยุ ฟังเพลงไปด้วย
             เวลาออกกำลังกายฉันจะเล่นไอจูนส์ทุกวันอังคาร คนขับรถคนหนึ่งของฉันเขาทำงานเป็นดีเจด้วย ส่วนอีกคนรสนิยมในการฟังเพลงของเขามันน่าเหลือเชื่อมาก พวกเขาเปิดเพลงให้ฉันฟังเรื่อย ๆ
                 ด้วยเหตุที่เธอเป็นศิลปินที่สนใจเรื่องเสียงเพลงกับดนตรีอย่างมาก เช่นครั้งหนึ่งในงาน Rock and Roll Hall of Fame (หอเกียรติยศร็อกแอนด์โรลและพิพิธภัณฑ์เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ตั้งอยู่บนชายหาดของทะเลสาบอีรีในตัวเมืองคลีฟแลนด์รัฐโอไฮโอประเทศสหรัฐอเมริกา
            เป็นพิพิธภัณฑ์สำหรับดนตรีวงการเพลงประวัติศาสตร์วงการแผ่นเสียงที่มีบันทึกเรื่องราวของศิลปินที่เป็นที่รู้จักที่สุดของโลกทุกคนได้เปิดตัวเมื่อกันยายนพ. 2538-และปัจจุบันเปิดให้ประชาชนทั่วไปได้เข้าชมทุกวัน)
             ที่ผ่านมาหอเกียรติยศฯ ได้จัดงานขึ้นและได้เชิญนักร้อง นักดนตรีดัง ๆ ทั้งหลายของอเมริกา รวมทั้งดอนน่าด้วยที่ได้รับเกียรติ เชิญไปในฐานะนักร้องที่ได้รับความนิยมสูงสุดจากชาวโลกคนหนึ่งเพื่อไปปรากฏตัวและขึ้นกล่าวในบนเวทีแห่งนี้
             เธอได้กล่าวถึงแรงบันดาลใจที่ได้จากการเป็นนักร้องว่า ทั้งหมดเป็นเรื่องของดนตรี  เวลาฉันแสดงและได้เห็นว่าเพลงมีผลกับผู้คนยังไงสิ่งที่ฉันตระหนักถึงมากกว่าสิ่งใด ๆ
              ตอนเห็นคนร้องไห้ หรือปลาบปลื้ม คือดนตรีมีผลกับคนยังไง ดนตรีมันมีพลังและพลังของมันเหนือกว่าศิลปะแขนงอื่น ฉันเองก็ได้รับอิทธิพลจากดนตรีของคนอื่น ๆ เหมือนกัน ฉันก็เป็นคนธรรมดา ๆ เหมือนคนอื่น ๆ เราต้องแชร์ความสัมพันธ์เดียวกัน และฉันจึงรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ทำงานสายดนตรี  
  ใช้เซ็กซ์” เป็นใบเบิกทาง
 
        มาดอนน่าเธอสามารถเรียกร้องความสนใจจากสาธารณชนได้ตลอดเวลา โดยใช้เพลงมิวสิควีดิโอ ข่าวประชาสัมพันธ์ และเสน่ห์ทางเพศ ของเธอเป็น เครื่องมือ มาดอนนาจึงนับ เป็นศิลปินป็อปฝ่ายหญิงคนแรกที่สามารถควบคุมแนวเพลงและภาพลักษณ์ของเธอได้อย่างเต็มที่
              “ฉันคงไม่ประสบความสำเร็จโด่งดังฮือฮาอย่างทุกวันนี้เป็นแน่ หากฉันไม่ทำตัวเป็นสาวเซ็กซี่แล้วก็เอาเรื่องเซ็กซ์มาทำให้ตัวเองเป็นจุดสนใจ ฉันโด่งดังขึ้นมาได้ก็เพราะใช้คำว่า  “เซ็กซ์” เป็นใบเบิกทางโดยแท้”
              “ก็ฉันรู้ว่าฉันเป็นคนเซ็กซี่มีเสน่ห์ดึงดูดใจทางเพศ นั่นก็ดีแล้ว แล้วทำไมฉันจะต้องปิดบังมันด้วยล่ะฉันก็เอาพรสวรรค์ของฉันอันนี้มาใช้ให้เป็นประโยชน์ เรื่องเพศเป็นเรื่องที่ฉันสนใจมากฉันคิดเกี่ยวกับเรื่องเพศอยู่มากทีเดียว”
               เรื่องของเธอก็คงหนีไม่พ้นสายตาของคนนับล้าน ๆ คู่บนโลกใบนี้ นับตั้งแต่เหล่านักบวชและผู้เคร่งศาสนาพากันประณามสาปแช่งเธออย่างอึงมี้ว่า เธอเป็นอีนางปีศาจร้ายชั่วช้า อีผู้หญิงไร้ยางอาย เธอไม่อายที่จะทำตัวเป็นอีผู้หญิงตัณหาจัดเซ็กซ์ขึ้นสมอง พอ ๆ กับไม่อายที่จะโชว์ร่างเปลือยโดยไม่พรั่นพรึงสายตาใคร
           อาทิเช่น เธอเคยเปิดเผยความรู้สึกนึกคิดส่วนตัวของเธอผ่านทางภาพต่าง ๆ อันพิลึกพิลั่นและชวนตระหนก เธอแสดงท่าการประกอบกามกิจทางปากกับขวดน้ำแร่ในสารคดี Truth Or Dare หลายคนที่ได้เห็นอดที่จะสบถออกมาไม่ได้ว่า  “ให้ตายเถอะผู้หญิงคนนี้หน้าด้านจริง ๆ”
             บางคนบอกว่า อยากผ่าหัวใจดวงด้านชาของเธอออกดูว่ามันมียางอายหลงเหลืออยู่บ้างไหมและบางคนสงสัยว่าผู้หญิงคนนี้แท้จริงแล้วเธอคือใคร  “มาดอนน่าคือปริศนาของทุกคน”  ใครจะอธิบายความเป็นมาดอนน่าได้ดีเท่าตัวเธอเอง
มาดอนน่ารำพึงถึงตัวเองและในที่สุดเธอได้กล่าวในสิ่งที่เธออัดอั้นมานานวัน
กับคนที่เกลียดเธอเหล่านั้นว่า..
            “ฉันรู้ดีว่ามีหลายคนคิดว่าฉันเป็นผู้หญิงที่บ้าอำนาจ บ้าเงิน บ้าเซ็กซ์ บ้าผู้ชาย ทำทุกอย่างเพื่อความดังและเงิน พวกเขาต่อต้านและขัดขวางทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันทำ ฉันไม่คิดว่าคนพวกนั้นจะเข้าใจฉัน และเขาจะไม่มีวันเข้าใจด้วย”
              “เพราะเขาเป็นพวกปิดหูปิดตาและไม่พยายามที่จะเข้าใจเลย  ลองถ้าเขามีอคติกับฉันตั้งแต่แรกเริ่ม มันก็ยากที่จะไปเปลี่ยนแปลงความคิดของเขา เขาไม่พยายามที่จะเข้าใจว่า ที่ชีวิตฉันขมวดเกลียวมาเป็นผู้หญิงโรคจิตอย่างที่พวกเขาเรียกกัน
 นั่นมันเป็นเพราะสาเหตุอะไร”
       
               “แต่ฉันรู้ และฉันรู้ดีว่า ที่ฉันกลายมาเป็นอีนังมาดอนน่าอย่างนี้ได้เป็นเพราะอะไร เพราะเหตุผลข้อเดียวเท่านั้นแม่เพราะฉันไม่มีแม่ การตายของแม่เป็นเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดในชีวิตของฉัน แม่ตายไปเมื่อฉันอายุแค่หกขวบ
และนั่นคือจุดสำคัญที่พลิกผันเปลี่ยนแปลงชีวิตของฉันทั้งชีวิต”

            “ ถ้าแม่ยังอยู่ ฉันแน่ใจว่าฉันคงไม่เป็นแบบนี้แน่ ฉันคงไม่มีนิสัยห่าม ๆ ระห่ำ ๆ   
                 แบบผู้ชายอย่างนี้ ฉันคงไม่ก้าวร้าวและไม่เป็นคนทะเยอทะยานรุนแรงอย่างนี้ แม่คงจะสอนให้ฉันรู้จักกับมารยาทของกุลสตรีหรือความอ่อนหวาน
แบบผู้หญิงหรืออะไรทำนองนั้น”

              นี้คือสิ่งที่มาดอนน่าออกมาแก้ต่างกับคนรอบข้างและคนทั้งโลกกับสิ่งที่เธอทำและสิ่งที่ทุกคนเห็น และเธอก็คงไม่แคร์ต่อสิ่งที่เธอทำเมื่อเธอได้ระบายความในใจของเธอให้ชาวโลกรู้แล้ว และที่แน่ ๆ คือเธอยังคงมีแฟนเพลงที่ยังรักและเหนียวแน่นอยู่
            เพราะไม่ว่าเธอจะทำอะไรเธอใส่ใจกับสิ่งที่ทำและใช้ใจทำงาน งานของเธอจึงออกมาได้รับยอมรับเสียส่วนใหญ่  เธอเคยกล่าวว่า
              “ท้ายที่สุด ไม่ว่าพวกเขาจะคิดถึงฉันยังไง  แม้ว่าบรรดาผู้คนจะยังคงคิดถึงภาพเปลือยของฉันในหนังสือพิมพ์ หรืออาจคิดถึงเพลง “Live To Tell” ในที่สุดฉันว่าพวกเขาจะคิดถึงของแท้จริงมากกว่า เพราะพวกเขาจะจำว่าอะไรคือความจริง และเอาที่เหลือทิ้งไป พวกเขาจะจดจำสิ่งที่ออกมาจากใจคน ๆ นั้นมากกว่า”
               อย่างไรก็ตามดอนนายังคงได้รับความนิยมเหมือนเดิม สาววัยรุ่นนับพันนับหมื่นคนเลียนแบบการแต่งกายเซ็กซี่ของเธอ จนเกิดเป็นพวก "อยากเป็นมาดอนนา"
          และยังมีประชาชนอีกนับล้าน ๆ คนทั่วโลก ที่สนใจที่เฝ้าดูคอนเสิร์ตของเธอ และสนใจเพลงที่เธอร้องเพลงมากกว่าสิ่งอื่นใด

เปลือยแนวคิดนักร้องคนเก่ง
“มาดอน” เธอคิดไม่เหมือนใคร
ปรัญชาแนวคิดสนใจเรื่อง “ความตาย

              มาดอนน่าชอบศึกษาและสนใจเรื่องความตายเธอกล่าวว่า…           
            “ฉันคิดอยู่เสมอว่าฉันอยากจะเป็นผู้ชาย และมันคงจะวิเศษสุดเลยทีเดียวถ้าฉันจะเป็นคนที่มีทั้งสองเพศอยู่ในคนคนเดียวกัน เพราะฉันจะได้มีทั้งความอ่อนหวานและความเข้มเข็ง ฉันอยากจะเป็นเกย์ เพราะพวกเขาทำให้ฉันทึ่ง คุณก็รู้ว่าฉันชอบพวกเกย์ ฉันมีเพื่อนที่เป็นเกย์เป็นโขยง แล้วฉันก็ชอบพวกเขาจังเลย ส่วนใหญ่พวกนี้ละที่เป็นเพื่อนสนิทในชีวิตของฉัน
           เรื่องความตายก็เป็นเรื่องที่ฉันสนใจและเฝ้าวนเวียนค้นหาคำตอบอยู่ตลอดเวลา อาจจะเป็นเพราะฉันไม่รู้ว่าเมื่อตายแล้วเราจะไปไหน ฉันกลัวความตาย ฉะนั้นเมื่อฉันยังมีชีวิตอยู่ ฉันจึงต้องใช้ชีวิตนี้ให้คุ้มค่าที่สุด ข้อดีของการเป็นศิลปินนั่นก็คือว่าผลงานของเราจะยืนยงอยู่ไปชั่วนิจนิรันดร์
               แม้ว่าตัวของเราจะตายดับไปแล้วก็ตาม อย่างน้อยเมื่อฉันตายไป ฉันก็จะได้ตายตาหลับและจะได้จากโลกนี้ไปด้วยความรู้สึกภูมิใจ ที่ว่าอย่างน้อยฉันก็ยังมีผลงานทิ้งไว้ และที่สำคัญคือฉันตายไปอย่างไม่เสียชาติเกิด”


มาดอนน่าชอบช่วยเหลือผู้อื่น
“ฉันมีเงิน มีอำนาจ ฉันอยู่อย่างสุขสบาย ฉันจึงอยากจะช่วยเหลือผู้อื่นบ้าง
 พวกคนในแวดวงเขาบอกว่า คุณไม่เห็นจำเป็นที่จะต้องทำแบบนี้เลย
และฉันก็ทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ”
         
          “ฉันคิดว่าฉันโชคดีที่ฉันได้ทำอาชีพอย่างนี้ เพราะเป็นอาชีพที่เราจะได้เปิดเผยความเป็นตัวของตัวเองออกมาได้มากที่สุด และฉันคิดว่าฉันได้ช่วยเหลือผู้อื่นไปมากทีเดียว ฉันคิดว่านั่นเป็นหน้าที่ของฉัน ฉันถึงบอกว่าฉันโชคดีที่ได้มายืนอยู่บนตำแหน่งนี้
              ฉันมีเงิน มีอำนาจ ฉันอยู่อย่างสุขสบาย ฉันจึงอยากจะช่วยเหลือผู้อื่นบ้าง พวกคนในแวดวงเขาบอกว่า คุณไม่เห็นจำเป็นที่จะต้องทำแบบนี้เลย มันไม่ใช่หน้าที่ของคุณ คุณรวยแล้วคุณก็เพลิดเพลินกับความร่ำรวยของคุณไปดีกว่า แล้วคุณจะไปวุ่นวายทำตัวให้มีปัญหาไปทำไม
          แต่นั่นไม่ใช่นิสัยของฉันที่จะทำอย่างนั้น ฉันชอบช่วยเหลือผู้อื่น แล้วฉันก็ทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ โดยที่ไม่ได้อยากจะให้ใครมาชมเชยหรือให้ใครมายกย่อง ฉันก็จะเป็นของฉันแบบนี้ ฉันอาจจะเคยถูกเข้าใจผิดมาแล้ว แต่ถึงตอนนี้คุณคงจะเข้าใจฉันได้ดีขึ้น”

มาดอนน่าเธอคือ  ดอกไม้หรือยาพิษ
             
เขาว่า “ดอกไม้” เป็นสัญลักษณ์แทนความหมายของความสวยงามและอีกมุมหนึ่งดอกไม้ก็เป็น  “ยาพิษ” ได้เหมือนกันเปรียบเสมือนตัวแทนของความชั่วร้าย เธอก็เปรียบประหนึ่งผู้หญิงพันธุ์ดอกไม้สีทอง ที่เต็มไปด้วยความงดงามของกลีบดอกเนินเนื้อที่แย้มยิ้มท้าทาย และอวลอายของกลิ่นหอมรัญจวนเร้าใจ หากแต่ซุกซ่อนไว้ด้วยเขี้ยวเล็บแห่งความดุร้ายและหนามแหลมคมฤทธิ์รุนแรงเธอก็คือดอกไม้งามแฝงพิษร้าย
         จนมีคำกล่าวที่ตลกร้ายว่า  “คุณอาจไม่เคยได้ยินเพลงของ Madonna แต่คุณต้องเคยได้ยินข่าวของ Madonna”  น่าเสียดายที่บางคนจะเข้าใจแค่ว่า Madonna เป็นแค่ผู้หญิงกร้านโลกโชกโชนคนหนึ่งเท่านั้น 
            ปี ค.ศ.1997   Madonna  ได้ให้สัมภาษณ์ออกรายการของโอปาร์ห วินฟรีย์ (Oprah Winfrey) เป็นการให้สัมภาษณ์ครั้งแรกหลังจากที่มาดอนน่ามีลูกแล้ว คำถามหนึ่งที่โอปาร์ห Oprahถามมาดอนน่า (Madonna) ก็คือ  “คุณจะสอนลูกสาวของคุณเรื่องอะไรบ้าง”  มาดอนน่า (Madonna)   ตอบคำถามกลับไปว่า “ให้ลูกได้รู้จักคำว่าเคารพตัวเอง”
                    แล้วโอปาร์ห Oprah  ยิงคำถามอย่างที่คนทั้งโลกอยากรู้เหลือเกินว่า 
                       “แล้วคุณจะสอนเรื่องผู้ชายกับลูกสาวว่าอะไร”
            คนในห้องส่งหัวเราะ คนทั้งโลกหัวเราะ มันเป็นเสียงหัวเราะเยาะเย้ยที่อ่านได้ว่า  “น้ำหน้าผู้หญิงที่เปลี่ยนผู้ชายเป็นว่าเล่นอย่างเธอจะมีปัญญาอะไรมาสอนลูกสาวเรื่องผู้ชาย”      
                 และมันคงไม่ใช่คำถามที่เป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย กลับการที่จะต้องเจอคนสบประมาทเรื่องแบบนี้และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอฟังคำถามเหล่านี้ เมื่อคำถามจบลงมาดอนน่าได้หัวเราะฟันห่าง พร้อมกับคำตอบที่ทำให้คนทั้งโลกตะลึง..
             “ก็ถ้าสอนให้เคารพตัวเองแล้ว ก็คงไม่ต้องสอนเรื่องผู้ชายอีก”
            ช่างเป็นคราวของมาดอนน่า (Madonna ) ที่หัวเราะให้กับคนทั้งโลกที่ดูอยู่มันไม่ใช่คำพูดลม ๆ แล้ง ๆ ที่เจียระไนให้ดูเท่ห์ แต่เมื่อสังเกตจากสีหน้าและแววตา พร้อมทั้งน้ำเสียงของเธอแล้ว มันหมายความตามนั้นอย่างมั่นใจ เพราะนั่นคือสิ่งที่เธอทำมาตลอดและพยายามบอกคนมาตั้งนานแล้ว

มาดอนน่าชอบความเป็นแม่
เพราะแม่คือผู้สร้างความสำเร็จอันยิ่งใหญ่
 
             ในอดีตเมื่อ 3 ปีก่อนเพื่อนของมาดอนน่าบอกว่ามาดอนน่าคิดจะมีลูก่ใหม่เพิ่มอีกหนึ่งคนกับ เจซัส อดีตคู่รักเก่า เพราะเธอมีความปรารถนาที่จะมีลูกจริง ๆ  เธอบอกว่าการเป็นแม่คือความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ที่สุด และเติมเต็มให้กับชีวิตของเธอมากที่สุด
             หลังจากมี ลอร์เดส ลูกสาววัย 17 ปี ที่เกิดกับคาร์ลอส ลีออง อดีตแด๊นเซอร์ และร็อคโค่ ลูกชายวัย 12  ขวบ ที่เกิดจากอดีตสามี กาย ริชชี่
             นอกจากนี้ ยังไปขอเด็กชาวมาลาวีมาเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรมอีก 2 คน คือ เดวิด บันดา และเมอร์ซี่ เจมส์ ที่อายุ 7 ขวบเท่ากัน ช่วงที่เธอเพิ่งจะหย่ากับกาย ริชชี่ ผู้กำกับหนุ่มวัยรุ่นน้อง มาดอนน่าได้เจอกับเจซัส และคบกันนานกว่า 2 ปี
 
           หลังจากพบกันระหว่างถ่ายภาพนิ่งในบราซิล เจซัสสามีใหม่วัยคราวลูกเพราะอายุห่างกัน 29 ปี ปัจจุบันเลิกติดต่อกันแล้วเนื่องจากฝ่ายชายเป็นคนเคร่งศาสนา (อิสลาม) และในที่สุดก็ไปกันไม่ได้ดังกล่าว
          มาดอนน่าสวยอยู่ได้ในวัยเลข 5 แล้ว 
 
               มาดอนน่ามีเคล็ดลับในการดูแลสุขภาพร่างกายและผิวพรรณด้วยการพักผ่อนและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ทำให้เธอแลดูไม่แก่ แม้อายุจะล่วงสู่วัย 5 ส่วนเรื่องการทำศัลยกรรมนั้น เธอจะทำศัลยกรรมหรือไม่เธอกล่าวว่า
             "ฉันไม่มีแนวคิดต่อต้านการทำศัลยกรรม แต่จะไม่มีวันพูดถึงเรื่องนี้กับพวกคุณแน่นอน" อย่างไรก็ตามคริสโตเฟอร์ ซิคโคน น้องสาวตัวแสบของเธอออกมาแฉพี่สาวว่า มาดอนน่าทำศัลยกรรมมาแล้วหลาย ครั้งถึงยังดูดีแม้อายุจะปูนนี้แล้วก็ตาม 
            ยามนอน ความงามตำรับเจ้าแม่"มาดอนน่า"ยังสวยอยู่ได้แม้วัยเลข 5 แบบนี้  เธอ มีเคล็ดไม่ลับอะไรกันถึงขนาดยังคงรักษาความสวยไว้ได้นานถึงขนาดนี้ แน่นอนด้วยการพักผ่อนนอนหลับอย่างเพียงพอ และยามว่าเธอจะไปโรงยิมโดยการปั่นจักยาน และการนอนเธอจะต้องนอนหลับสนิทอยู่ในห้องที่เงียบสงบ ไร้มลภาวะทางเสียงใด ๆ ทั้งสิ้นมารบกวนห้ามใครมารบกวนยามพักผ่อนจริง ๆ   
              ยามกินได้เลือกกินอาหารมีประโยชน์ ซึ่งเจ้าตัวโปรดปรานมาก กับอาหารญี่ปุ่น ถึงขั้นมีเชฟทำอาหารญี่ปุ่นติดตามไปทุกที่ ส่วนมื้อค่ำของเธอมักไม่พ้นปลา ผัก และธัญพืชต่าง ๆ ที่ทำให้ผิวพรรณของเธอยังคงเต่งตึงและใบหน้ายังดูเต่งตึง ได้รูปเหมือนสาวที่มีอายุ 30 เศษ ๆ เท่านั้น
               ยามว่าง  อีกหนึ่งขุมกำลังความสวยที่สำคัญคือการออกกำลังกาย ทั้งวิ่ง เล่นโยคะ เล่นพีลาตีสโดยใช้เวลาออกกำลังกายเฉลี่ยวันละ 3 ชั่วโมง เธอมักจะแบ่งเวลาไว้ออกกำลังกาย เช่นบางครั้งแทนที่เธอจะขับรถไปยิมกลับเลือกใช้วิธีปั่นจักรยานไปแทน ประหยัดพลังงาน ลดโลกร้อน แถมยังได้ออกกำลังขาไปในตัว 
               ออกกำลังกาย เพราะในบางครั้งเธอก็ชอบเล่นกล้าม โดยสวมเสื้อยืดและกางเกงออกกำลังกาย ซึ่งโชว์ให้เห็นแขน ที่บ่งบอกว่าได้ผ่านการออกกำลังกายมาอย่างต่อเนื่อง และบางครั้งก็มีคนเห็นเธอจะไปเล่นกล้ามอยู่แถวใจกลางเมืองนิวยอร์ค หรือภายหลังการฝึกฝนโยคะที่มีคนบอกว่าเธอเชี่ยวชาญจนเข้าชั้น "เซียน"
มาดอนน่า “มีเงินไม่ใช่มีความสุข
        มาดอนน่าบอกว่า “เพราะฉันคิดว่าฉันไม่สมควรที่จะได้เงินเหล่านี้เลย แม้ว่าฉันจะได้มันมาด้วยน้ำพักน้ำแรงและลำแข้งลำขาของฉันเอง ฉันทนไม่ได้ที่ตัวเองจะนอนเสวยสุขบนกองเงินกองทอง   ในขณะที่ทั้งพ่อและพี่น้องทุกคนก็ยังคงไม่มีเงินจนกรอบอย่างเดิมนั่นเอง

          และในบางครั้งฉันก็เกิดความรู้สึกประหลาด ๆ ขึ้นมาในใจว่า ไม่แน่ในวันหนึ่งอาจจะมีใครมาแย่งชิงเอาเงินทั้งหมดไป ฉันกลัวว่าฉันจะกลับไปจนแบบเดิมอีก ความรู้สึกนั้นหลอกหลอนให้ฉันกลัวอยู่เสมอ และมันทำให้ฉันยิ่งต้องทำงานหนักหาเงินอยู่ตลอดเวลา”
          แล้วใครล่ะที่คิดว่าคนร่ำรวยมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกอย่างฉันนี่ชีวิตคงจะมีแต่ความสุข เปล่าเลย เพราะความจริงแล้วมันกลับกลายเป็นตรงกันข้าม แม้ฉันจะมีเงิน มีชื่อเสียง แต่ฉันก็ไม่มีความสุขเลย คุณเรียกมันว่าความสุขหรือเวลาที่คุณไปไหนมาไหนโดยที่มีสายตาของคนรอบข้างจับจ้องอยู่ตลอดเวลา
           หรือคุณคิดว่าคุณมีความสุขหรือเมื่อคุณได้อ่านหนังสือพิมพ์ที่เขาพากันเขียนโจมตีคุณด้วยคำพูดที่เหมือนถูกตบหน้าว่า แกมันก็แค่อีกะหรี่! อีกะหรี่... นั่นหรือคือความสุข?
         ชีวิตของฉันเป็นชีวิตที่มีแต่ความทุกข์ เดี๋ยวนี้ฉันไม่สามารถทำอะไรหลาย ๆ อย่างที่ฉันอยากจะทำ แต่ก่อนฉันเป็นคนที่ชอบออกไปเดินเล่นดูผู้คนตามถนน แต่เดี๋ยวนี้ฉันทำอย่างนั้นไม่ได้อีกแล้วพวกคุณไม่เข้าใจหรอก คุณรู้จักฉันว่าเป็นคนดัง
          แต่คุณก็ไม่รู้ว่าการเป็นคนดังนี่มันมีผลร้ายอย่างไรบ้างต่อชีวิต มันเปลี่ยนแปลงชีวิตของฉันทั้งชีวิต ฉันคงไม่มีวันกลับไปเป็นอย่างนั้นได้อีกแล้วตลอดชั่วชีวิตนี้
         หากคุณจะถามฉันว่าฉันเป็นคนที่มีความสุขหรือเปล่า ฉันก็จะตอบได้เลยว่าไม่ใช่ ฉันเป็นคนที่มีแต่ความทุกข์ ฉันต้องต่อสู้กับปีศาจร้ายมากมายที่เข้าสิงสู่ทำร้ายจิตใจฉัน และความรู้สึกเลวร้ายต่าง ๆ ที่วนเวียนอยู่ในใจของฉันตลอดเวลา แต่ฉันอยากจะมีความสุขฉันเคยมีความสุขอยู่บ้างที่คุณเห็นฉันทำโน่นทำนี่อยู่ไม่หยุดหย่อน
              นั่นก็เพราะว่าการได้ทำอะไรแปลก ๆ ใหม่ ๆ อาจจะทำให้ฉันรู้สึกสนุกสนาน และมีความสุขขึ้นมาได้บ้าง อีกอย่างหนึ่งก็เพื่อบรรเทาความเหงา ฉันจะพยายามทำตัวให้มีความสุข ฉันพยายามที่จะทำตัวให้สนุกสนาน เพราะฉันรู้ว่าแท้จริงแล้ว ชีวิตคือเรื่องเศร้า ฉันเชื่ออย่างนั้นจริง ๆ”
มาดอนน่าเล่าว่า..
         “แล้วคุณรู้ไหม มันเหมือนเรื่องตลกที่บ้าที่สุดฉันเริ่มมีความรู้สึกผิด ฉันรู้สึกผิดที่มีเงินมากเกินไป อาจเป็นเพราะชีวิตในวัยเด็กของฉัน ฉันเกิดมาในครอบครัวคนชั้นกลางที่มีลูกยั้วเยี้ยถึงแปดคนและเรายากจน”


 ไม่ยอมตกกระแส
พยายามปรับตัวเข้ากับสมัยนิยมตลอดเวลา
             
            ความคิดสร้างสรรค์และปรับตัวของมาดอนน่าที่ไม่ยอมตกกระแส เธอมักทุ่มเทให้กับงานที่อิงกระแสบันเทิงของโลกตลอดเวลา จนนำมาสู่การทำงานกับโปรดิวเซอร์และนักร้องรุ่นใหม่ ๆ ในอัลบั้ม    ปัจจุบันมาดอนน่ายังคงสร้างข่าวคราวต่าง ๆ ทั้งดีและไม่ดีอยู่ตลอดเพื่อที่ไม่ให้ตนเองตกยุค เช่นเมื่อ 6 ปีก่อน เธอได้ตั้งลัทธิ Kabaalah ขึ้นมา เป็นต้น 
           และมักทำอะไรแผลง ๆ เช่นเมื่อครั้งออกรายการถ่ายทำMTV  ด้วยการทำท่าจูบกับคริสติน่า อากีเรล่า (Christina Aguliera) โดยทั้ง 3 ล่อแต่งชุดแต่งงานทำให้ฉากนี้ถูกตัดออกไปทันที ปัจจุบันมาดอนน่าก็ยังคงออกทัวร์อย่างสม่ำเสมอ และก็ยังสร้างความเอนเตอร์เทนให้คนดูอยู่ตลอดเวลา
              และในบางครั้งเธอถึงกลับต้องทำบางอย่างเพื่อให้ทุกอย่างของเธอแลดูดี แม้กระทั่งเรื่องการไปฉกตัวผู้จัดการส่วนตัวไมเคิล แจ็กสัน เพื่อมาสร้างบารมี เธอเล่าว่าเธอรีบบินดิ่งไปแอลเอไปหา เฟรดดี้ ดีแมน ผู้จัดการส่วนตัวของไมเคิ่ลแจ๊คสันทันที

           หลังจากคุยกันไม่นาน เฟรดดี้ก็ขับรถมาส่งมาเธอที่ห้องพักพร้อมกับเปลี่ยนใจหันมาเป็นผู้จัดการส่วนตัวของเธอไปทันที แถมยังเรียกเสียงฮาเมื่อนำเรื่องนี้ไปเล่าในงาน Rock and Roll Hall of Fame Inductionที่เธอเป็นหนึ่งในศิลปินที่ได้รับเกียรติอันยิ่งใหญ่นี้
               เธอเองรู้สึกว่าการที่เธอเป็น Sex symbol  จะทำให้เธอกล้าที่จะเปลี่ยนและผันตัวไปตามกระแส และพยายามทำตัวให้อยู่ในกระแส ผู้คนก็จะไม่ลืมเธอ และยังมีอีกหลายบทบาทที่เธอชอบนำพาตัวเองเข้าไปหาสิ่งนั้น เป็นความรู้สึกทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างที่เธอบอกว่ามันควรจะเป็นเธอกล่าวว่า
                                 
                                                                             เพลงLike A Prayer
            
           เธอไม่เคยหยุดกับการสร้างกระแสเพื่อให้ตัวเองเป็นข่าวตลอดเวลา เช่นในปี ค.ศ.  1989  เธอทั้งเต้นและร้องเพลงหน้าไม้กางเขนไหม้ไฟในเอ็มวีเพลง "Like A Prayer" ซึ่งมีคนที่ต่อต้าน แต่เธอกลับบอกว่าขอแค่แข็งขืน เพราะลัทธิศาสนาย่อยหรือคนดันทุรังที่อ้างว่าทำโน่นทำนี่ในนามของพระผู้เป็นเจ้าแต่จริง ๆ แล้วนำความเจ็บปวดมาสู่ชีวิตประชาชน คือสิ่งที่เราต้องแข็งขืนและมีความรู้สึกว่านั่นเป็นสิ่งที่ได้ทำ
            และเธอยังร้องเพลง "Live to Tell" บนไม้กางเขน ในทัวร์ Confessions Tour เธอบอกว่าเธอสนับสนุนองค์พระเยซู แสดงความเคารพต่อข้อความของพระองค์ ที่ว่าให้รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง ปฏิบัติกับคนอื่นอย่างสง่างาม แต่เธอว่าพวกคริสเตียนอาจไม่ชอบเธอเท่าไหร่
            ในยุคตั้งแต่ปี ค.ศ.  1980-1990 มาดอนน่า (Madonna )ถูกยกให้เป็น Queen of Pop ควบคู่ไปกับ King of Pop อย่างไมเคิ้ล แจ็กสัน (Michael Jackson) แล้วพอข้ามมายุค ค.ศ.  2000 มาดอนน่ากลับปรับตัวเข้ากับวงการเพลงทศวรรษใหม่ได้อย่างกลมกลืน MTV  จึงยังยกให้เธอเป็น  “Queen of Re-Invention” ต่อไปอีก
           และเธอยังเป็นผู้นำเทรนด์ นับตั้งแต่อัลบั้ม Madonna มาจนถึง Hard Candy จะเห็นได้ว่าดนตรีและสไตล์ของเธอนั้นล้ำหน้าตลอดและไม่เป็นสองรองใคร    
             ในบางครั้งเธอกลับถูกยกให้เป็นเฟมินิสต์ตัวแม่ที่ทลายกำแพงทางเพศ เป็นเซ็กซ์ซิมโบลที่กล้าท้าทายกรอบศีลธรรม เรียกว่าแรงเสียจนเคยถูกต่อต้านประณามระดับโลกมาแล้ว ในปี ค.ศ. 1989 องค์กรทางศาสนาทั้งคริสต์และอิสลามได้ออกโรงต่อต้านเอ็มวี  Like A Prayer ของเธอที่นำสัญญลักษณ์ทางศาสนามาหยอกล้อดังกล่าว
             อีกครั้งที่มิวสิควีดีโอเพลง  “Girl Gone Wild ของมาดอนน่าสร้างกระแสฮือฮาอย่างร้อนแรงไปทั่ว โดยภายหลังถูกเผยแพร่ทางยูทิวบ์ เว็บไซต์นี้ได้จำกัดอายุผู้ชมมิวสิควีดีโอ ต้องมีอายุเกินกว่า 18 ปี ระบุว่าเนื่องจากวีดีโอนี้มีเนื้อหาในเชิงโป๊เปลือย และมีนัยยะของการแสดงกิจกรรมทางเพศ แต่ยูทิวบ์ยืนยันว่าได้มีการตัดต่อบางฉากที่ร้อนแรงมากออกไปแล้ว
             เฉพาะวีดีโอนี้มีผู้ชมล้นหลามเป็นล้าน ๆ คนในการคลิกเข้าชม ว่ากันว่าเป็นอิทธิพลจากเอ็มวีเพลงAlejandroของเลดี้กาก้า
            จนชาวสีรุ้งซึ่งเป็นชนอีกกลุ่มหนึ่งผู้รักในเสียงเพลงในสหรัฐอเมริกายกให้เธอเป็น “ตัวแม่” ทุกวันนี้ก็ยังมีการนำเพลงของเธอไปโชว์ตามผับตามบาร์ของชาวสีรุ้งอยู่บ่อย ๆ เพราะทุกเพลงของมาดอนน่ากลายเป็นเพลงอมตะที่มีความลงตัวทั้งด้านแฟชั่น เนื้อหา และลีลาที่เร่าร้อน จนยากที่จะหาศิลปินคนใดเทียบแบบได้
            ตลอดจนเมื่อช่วงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2555  มีข่าวฮือฮาเกี่ยวกับเธออีกครั้งนี้เป็นเรื่องสิทธิมนุษยชนซึ่งในช่วงหนึ่งของการแสดง มาดอนน่าร้องและเต้นเพลงฮิวแมนเนเจอร์ พร้อมกับค่อยๆ ถอดเสื้อผ้า กระทั่งเมื่อจบเพลง มาดอนน่าถอดเสื้อออกเหลือแค่เสื้อชั้นใน ถอดกางเกงออกเห็นกางเกงชั้นใน
             ด้านหลังของเธอมีรอยสักเขียนคำว่า  Malala (มาลาลา) เธอเริ่มพูดถึงความโหดร้ายของกลุ่มตาลิบัน ที่ส่งมือปืนมายิงเด็กหญิงมาลาลา หลังจากไปเขียนบล็อกวิพากษ์วิจารณ์กลุ่มตาลิบัน โดยเมื่อมาดอนน่าพูดจบก็เริ่มเต้นระบำยั่วยวนไปพร้อม ๆ กับการร้องเพลง
              บรรดาชาวปากีสถานจำนวนมากแสดงความไม่พอใจที่มาดอนน่า แสดงท่าทางเต้นระบำเปลื้องผ้าบนเวทีคอนเสิร์ต "MDNA TOUR" ที่สเตเปิ้ลเซ็นเตอร์นครลอสแองเจอลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา
               เธอบอกกว่าการเต้นครั้งก็เพื่อสดุดีเด็กหญิงมาลาลา ยูซาฟไซ วัย 14 ปี นักกิจกรรมด้านการศึกษาชาวปากีสถาน ซึ่งถูกกลุ่มก่อการร้ายตาลิบันใช้อาวุธปืนยิงศีรษะจนได้รับบาดเจ็บสาหัสคารถโรงเรียนและปัจจุบันอาการยังอยู่ในขั้นโคม่าและต่อมาเธอก็รอดตายแล้วอย่างปฏิหาริย์
             หรือเมื่อครั้งที่เธอไปถ่ายสารคดี "I Am Because We Are" และส่งมันไปประกวดงานหนังซันแดนซ์ โดยมีผู้หญิงคนหนึ่งพูดว่า  “คุณต้องตัดสินใจนะว่าอยากเป็นศิลปิน หรือนักเคลื่อนไหว" และฉันตอบว่า  "แล้วทำไมฉันเป็นทั้งสองอย่างไม่ได้ ?"
            ปกติอาชีพศิลปินดังได้นานอย่างดีก็ไม่เกิน 10 ปี หรือเมื่อสูงอายุแล้วก็มักจะต้องหลีกทางให้รุ่นน้อง ๆ ได้เจริญรอยตาม ส่วนเรื่องของตัวเองก็กลายเป็นแค่ตำนาน และศิลปินรุ่นน้อง ๆ ก็ตามมาโด่งดังเป็นวัฏจักร
               แต่สำหรับมาดอนน่าผู้ไม่ยอมตกยุคคนนี้ ได้หมั่นสร้างกระแสให้ตัวเองทุกเรื่อง ความเป็นตัวของเธอเองมีอยู่ล้นเหลือ ทำให้เธอยืนหยัดอยู่ได้มากว่า 3 ทศวรรษ และเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก
               ปัจจุบันแม้แต่เด็กวัยรุ่นอายุ 11-18  ปีขึ้นไปยังรู้จักเธอทุกคน มันคือบทสรุปของทุกสิ่งที่เธอพูดและทำ เพราะเธอคือผู้บุกเบิกทั้งในแง่ของดนตรี เอ็มวี การแสดงบนเวที และแฟชั่น ที่ศิลปินรุ่นน้องหลายคนยึดถือเป็นแบบฉบับด้วยเหตุนี้เธอจึงสามารถอยู่วงการเพลงได้อย่างสมศักดิ์ศรีและยากที่ใครจะลืมเธอ
เลดี้กาก้าศิลปินรุ่นน้องชื่อเสียงก้องโลกยึดมาดอนน่าเป็น  “ไอดอล
                         

              เลดี้ กาก้า นักร้องชื่อดังเจ้าของฉายา “เจ้าแม่ไม่แคร์สื่อ” มีคนต้นแบบที่อยู่ในใจแล้วคือ มาดอนน่า ไม่ว่าศิลปินมีชื่อเสียงก้องโลกคนไหนก็ต้องมีไอดอล หรือคนต้นแบบด้วยกันทั้งนั้น เพราะเหมือนเป็นกำลังใจให้กันเพื่อการผลักดันให้ตัวเองได้ก้าวมาสู่ความสำเร็จได้  เลดี้ กาก้า ยอมรับว่ามาดอนน่าเป็นไอดอลของเธอ และมีอิทธิพลกับเธอมาก ผลงานของเธอหลายชิ้นจึงดูคล้ายกับงานของมาดอนน่า
               เพลงที่เป็นที่พูดถึงกันมากคือ Born This Way ของกาก้า ที่หลายคนมองว่าคล้ายกับเพลง Exprees Yourself ของมาดอนน่า มาดอนน่ากล่าวถึงเพลง Born This Way ว่าเป็นเพลงที่มีดนตรีคล้ายกับ Exprees Yourselfของเธอ ซึ่งออกมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1989 แต่สิ่งที่แตกต่างคือคอร์ด ซึ่งเธอมองว่าเพลง Born This Way เป็นเพลงที่น่าสนใจ และเธอยังกล่าวแบบถนอมน้ำใจสาวกาก้ามาก ๆ ด้วยว่า
          “ฉันฟังแล้วก็คิดว่าเอาเพลงฉันมาทำใหม่ได้เจ๋งดีนะ ได้ยินการเปลี่ยนคอร์ดของเพลงก็จำได้แล้ว ก็..น่าสนใจดี  ตอนเห็นน้องเขาครั้งแรกฉันประทับใจมากนะ เธอเจ๋งดี ทำให้นึกถึงตัวเองสมัยก่อนเลย ฉันคิดว่าเธอมีพรสวรรค์มาก ๆ”
           แม้จะมีคนวิจารณ์ว่ากาก้าก็อปปี้เพลงของมาดอนน่า แต่เธอนิ่งเฉยหุบปากเงียบสมกับที่เป็นปูชนียบุคคล และBorn This Way ก็เป็นเพลงที่ประสบความสำเร็จไปทั่วโลก เคยขึ้นอันดับหนึ่งในชาร์ตประเทศต่างๆ ถึง 19 ประเทศ  
              สิ่งสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งที่ทำให้มาดอนน่ารู้สึกดีกับเลดี้ กาก้า เพราะเลดี้ กาก้าให้เกียรติและชื่นชมมาดอนน่าเสมอ อย่างตอนที่ไปออกรายการทอล์คโชว์ของเจย์ เลโน พิธีกรชื่อดัง
             เลดี้ กาก้า พูดว่าเธอเป็นแฟนพันธุ์แท้ของมาดอนน่า และรักในตัวของมาดอนน่าทั้งในเรื่องส่วนตัวและผลงาน นอกจากนี้ เลดี้ กาก้า ยังดีใจมากที่เธอได้รับอีเมล์จากตัวแทนของมาดอนน่าที่บอกว่ามาดอนน่าสนับสนุนเพลง Born This Way พร้อมทั้งฝากความรักและกำลังใจให้เธอ
            และมองว่างาน ของ เลดี้ กาก้าหลายชิ้นน่าสนใจและยอดเยี่ยม และเธอไม่ได้รู้สึกแย่เวลาที่มีคนบอกว่างานของเลดี้ กาก้าคล้ายกับงานของเธอ มาดอนน่ากล่าวว่า
              “เธอมองว่าฉันเป็นแบบอย่าง เธออ้างอิงฉันหลายครั้งในงานของเธอ บางครั้งฉันคิดว่างานของเธอยอดเยี่ยมและน่าสนใจมาก เรื่องนี้มีหลายมุมมอง ฉันไม่ได้รู้สึกแย่ที่มีคนบอกว่างานของเธอคล้ายกับของฉัน ฉันรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่แปลกไปเท่านั้น”
                      -************************
                                                    
                         สร้างสีสรรให้กับความเป็นศิลปิน

            ด้วยความสามารถที่ล้นเหลือ นอกจากความสามารถด้านผลงานเพลงแล้ว มาดอนน่ายังมีความพยายามที่จะสร้างผลงานให้กับตัวเองในด้านการแสดงภาพยนตร์ประมาณเกือบ 20 เรื่อง โดยเธอมีผลงานทางด้านนี้มาตั้งแต่ปี  ค.ศ. 1979 -2005  เธอเริ่มนำพาตนเองเข้าสู่วงการ ภาพยนตร์อย่างจริงจัง จากการได้รับบทนำใน Desperately Seeking Susan ในเบื้องต้น
           

           ซึ่งในช่วงนั้นเองนับว่าเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตเธอเพราะเมื่อเริ่มดังระเบิดจากการเป็นนักร้อง และเธอเริ่มหันมารับงานแสดงภาพยนตร์เมื่อประสบผลเร็จพอสมควร อีกมุมหนึ่งก็เตรียมเล่นงานเธอโดนได้มีผู้นำหนังโป๊ต้นทุนต่ำของเธอเรื่องA Certain Sacrifice

            ซึ่งได้เธอถ่ายไว้ในอดีตก่อนเข้าวงการถูกนำออกฉาย เท่านั้นยังไม่พอหนังสือเพลย์บอยและเพนท์เฮาส์ต่างพากันลงรูปโป๊ของเธอที่เคยถ่ายไว้ก่อนเข้าวงการอีกด้วย 

            ส่วนหนึ่งก็ทำให้ภาพพจน์ของเธอซวนเซไปได้พอสมควร อย่างไรก็ตามเธอไม่สนใจ กลับต้องเดินหน้าทำงานต่อไป โดยออกอัลบั้มใหม่ ๆ และรับงานแสดงภาพยนตร์เรื่องอื่นต่อไป
             รวมทั้งภาพยนตร์เรื่อง Dick Tracy  ของวอร์เรน บีทตี้  ก็สามารถสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเธอได้อีก  เนื่องจากทำรายได้อย่างงดงามเป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จที่สุดของเธอนับจาก Desperately Seeking Susan  ซึ่งเป็นเรื่องแรกที่เธอรับเล่น หลังจากนั้นเธอก็ยังรับเล่นหนังควบคู่ไปกับการร้องเพลงเรื่อยมา
             เช่นภาพยนตร์เรื่องวิชั่น เควส (Vision Quest) หรือเรื่องWho's That Girl  ตั้งหน้าตั้งตาแต่งเพลงให้หนัง Austin Powers  ที่เธอเล่นโดยไม่ยอมสะดุด และเธอทำได้จริง ๆ และเมื่อหนังเรื่อง Evita  ออกฉายก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้เธอดัง ระเบิดอีกรอบเป็นการการันตีให้คนทั้งที่ชื่นชอบเธอและดูถูกเธอได้ตะลึงกับบทบาทนางเอกที่ไม่มีใครคิดว่าเธอจะทำได้
        รางวัลลูกโลกทองคำนักแสดงหญิงยอดเยี่ยม
              

ด้วยผลงานด้านการแสดงที่โดดเด่นมากคือ ภาพยนตร์เพลงเรื่อง EVITA ที่เธอรับบทเป็นประธานาธิบดีหญิงเอวิต้า เปรอง ของอาร์เจนตินา นักวิจารณ์ส่วนใหญ่ชมมากกว่าตำหนิ ทั้งที่ช่วงแรกหลายเสียงออกมาวิพากวิจารณ์
             ตรงกันข้ามเมื่อหนังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล และเธอคือนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมสาขาหนังเพลง  ได้รับรางวัลลูกโลกทองคำ 3 รางวัลปี ค.ศ. 1996 และได้รับรางวัลออสการ์ 1 รางวัลจากเพลงประกอบหนัง You Must Love Me  (OST. Evita สาขา Best Original Song  
          
                                     
                                             มาดอนน่าแสดงเป็นเอวิต้าสุภาพสตรีหลายเลขหนึ่งของประเทศอาร์เจนติน่า

           โดยในเนื้อหาของเพลงรวมถึงการแสดงอารมณ์ของคนที่เคย เป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งที่เคยมี ทุกอย่างแต่กำลังจะสูญเสียมันไปหมด รวมถึงความรักจากสามี ถึงต้องร้องออกมาเป็นเพลงเนื้อหาว่า "ฉันกำลังกลัว จะเสียทุกอย่างไป เธออย่าทิ้งฉันนะ ต้องรักฉันนะ"
           เรื่องราวของอีวา ดูอาร์ต หรือ อีวา เปรอง ลูกสาวชาวนายากจนชาวอาร์เจนติน่า ผู้ใฝ่ฝันอยากจะเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียง แต่แล้วโชคชะตาชีวิตกลับเล่นตลก ให้เธอได้มาพบกับนายพันฮวน เปรอง ผู้ทำให้เธอกลายมาเป็นเทพธิดาของผู้ยากไร้ชาวอาร์เจนติน่า
           ผู้ทำทุกอย่างที่นำมาซึ่งความเป็นอยู่ ที่ดีขึ้นของพี่น้องร่วมชาติและเป็นสุภาพสตรีอันดับ 1 ในแผ่นดิน ที่หลายคนขนานนามเธอว่า "เอวิต้า" (Evita)ผู้คงความเป็นตำนานตลอดกาล ชั่วนิรันดร์ 
              รวมทั้งรางวัลออสการ์ในภาพยนตร์เรื่อง Dick Tracy   ซึ่งเป็นภาพยนตร์การ์ตูนเกี่ยวกับยอดนักสืบ สร้างสรรค์โดยนักเขียนการ์ตูน Chester Gould ตีพิมพ์ครั้งแรกใน Chicago Tribune Syndicate ในปี ค.ศ. 1931 ถูกนำไปเป็นสื่อบันเทิงหลายรูปแบบ
            รวมทั้งภาพยนตร์และในที่สุดคือเมื่อปี ค.ศ. 1990  ค่าย Touchstone นำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ โดยเรื่องนี้ มาดอนน่า เล่นคู่กับ ดัสติน ฮอฟแมน จนทำให้ภาพยนตร์ได้รับรางวัลออสการ์ถึง 7 ตัว
                                                   
                                                                 
             การที่มาดอนนารับงานแสดงภาพยนตร์เธอก็ได้บทเด่น ในภาพยนตร์เป็นครั้งแรกเป็นการสร้างฐานให้ตัวเธอในเรื่อง Desperately Seeking Susan ของซูซาน ไซเดลแมนดังกล่าวและต่อมาเธอรับเล่น  Truth Or Dare ภาพยนตร์สารคดี  และยังรับเล่นตัวแสดงที่มีบทบาทที่ไม่ค่อยเด่นนักในภาพยนตร์ A League Of Their Own   
            แต่สำหรับภาพยนตร์บางเรื่อง เช่นภาพยนตร์ตลกเรื่อง Shanghai Surprise   ซึ่งมาดอนนารับบทเด่นและแสดงคู่กับฌอน เพนน์ ยังถูกนักวิจารณ์วิจารณ์สับแหลกได้บ้างเช่นเดียวกัน โดยเมื่อหนังออกฉายในช่วงเดือนพฤศจิกายน ปี ค.ศ. 1987 ทำให้ยอดขายตั๋วไม่มีเท่าที่ควร ส่วนภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งที่เธอเล่นคือWho's That Girl 
            ในปี ค.ศ. 1988 มาดอนนาค่อนข้างเงียบ ช่วง 6 เดือนแรก เพราะเธอเตรียมตัวหย่ากับ ฌอน เพนน์ แต่เธอได้เตรียมตัวแสดงละครบรอดเวย์ ของเดวิด มาเม็ท เรื่อง Speed The Plow  ส่วนในปี ค.ศ. 2003 มาดอนน่าแสดงหนังอีกเรื่องหนึ่งคือ Swept Away

            โดยรับบทนำ กำกับโดย กาย ริทชี่ แฟนของเธอเองแต่หนังไม่ทำเงิน และยังรับบทครูสอนฟันดาบในเรื่องJames Bond (Die Another Day และร้องเพลงประกอบคือเพลง Die Another Day  อีกด้วย
งานแต่งเพลงของมาดอนน่า        
                 งานแต่งเพลงของมาดอนน่า อาทิเพลง “Live to Tell  กับเพลง “Like a Prayer”  และเพลง "Cherish”  เป็นการทำงานร่วมกับ แพทริก เลียวนาร์ด (นักแต่งเพลงและโปรดิวเซอร์) ซึ่งทั้ง 3 เพลงได้รับความนิยมสูงสุดขึ้นชาร์ท (กล่าวไว้ในตอนที่ ๒)

           ดังนั้นความสัมพันธ์ ที่เกี่ยวข้องกับความสำเร็จระหว่างเธอกับเขา เธอกล่าวว่า เรามาจากมิดเวสต์  (Midwest )เหมือนกันและลึก ๆ ในแก่นแท้ของเรา เราเป็นคนบ้านเดียวกัน สำหรับแพทริกเขาเป็นคนเศร้า เขาเป็นนักดนตรีคลาสสิคที่มีเซ้นส์เรื่อง เมโลดี้ที่น่าเหลือเชื่อ เรามักได้อะไรใหม่ ๆ ที่น่าสนใจเสมอการเขียนเพลงของเรามันมีเวทมนต์บางอย่าง
              เธอบอกว่าเนื้อเพลงที่แต่งขึ้นมีตอนที่ชอบที่สุด คือตอน "Miles Away" และ "Devil Wouldn't Recognize You" มันจะมีความเป็นส่วนตัวดีจริงๆ  รวมทั้งชอบเนื้อร้องของ "Like It or Not”  "I'll be the garden, you be the snake, all of my fruit is yours to take, better the devil that you know, your love will surely grow"หรือเพลง "Paradise (Not For Me)”  ที่ว่า  “I can't remember when I was young, I can't explain if it was wrong  
             
             และในบางครั้งเธอต้องเดินคนละทางกับเพื่อนนักแต่งเพลงร่วมกันในบางครั้งเช่นกับ Warner Bros ที่ประกอบธุรกิจเพลงร่วมด้วยกันมาหลายเพลง บางครั้งความเห็นที่แตกต่างกันทั้งวิธีทำงาน  การทำการตลาดและการขายเพลง
             เธอเห็นว่ามันเป็นวิวัฒนาการทางธรรมชาติในหลาย แง่มุมแต่สำหรับเพื่อนผู้ร่วมทางเพลงของเธอ เมื่อถึงเวลาอาจเห็นไม่ตรงกันจึงต้องแยกทางกันไป  
ผลงานการกำกับและร่วมเขียนบทภาพยนตร์ของมาดอนน่า
          สำหรับหนังเรื่อง  W.E.  (หยุดโลกไว้ที่ “รัก” “เธอ”) คือผลงานการกำกับเรื่องที่ 2  ของเธอ เพราะเธอเคยเป็นผู้กำกับฯ มาแล้วใน Filth and Wisdom  เมื่อปี ค.ศ. 2008 นำแสดงโดยยูจีน ฮัสท์ และริชาร์ด อี. แกรนต์ โดยเธอพูดถึงภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า ฉันทำ Filth & Wisdom เพื่อสอนตัวเองในกระบวนการทำภาพยนตร์ เพื่อที่ฉันจะได้พร้อมกับการกำกับและเขียนบทในโปรเจกต์ที่ฉันต้องการทำมาโดยตลอด
         มาดอนน่าไม่ต้องการรางวัลหรือคำชมแต่เธอใช้ “หัวใจ” ทำงาน ดังนั้นทำให้เวทีลูกโลกทองคำตอบรับความกล้าและทุ่มเทของเธอซึ่งเป็นผลงานการกำกับ และร่วมเขียนบทของ มาดอนน่า เธอได้ทีมงานคุณภาพ เช่นผู้กำกับภาพ ฮาเกน บ็อกดานสกี้  ผู้ออกแบบงานสร้าง มาร์ติน ไชลด์ ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย เอเดรียน ฟิลลิปส์ (Walk the Line) 
                 หนังที่เธอใช้เป็นแรงบันดาลใจในการถ่ายทำก็คือ La Vie En Rose ที่ทำให้ มาริยง โกลติยาร์ด การันตีกับรับรางวัลออสการ์ที่ได้รับจากหนังเรื่องที่สร้างแรงบันดาลใจให้เธอ  ดังนั้นในแนวคิดของผู้อำนวยการสร้างอย่างมาดอนน่า เธอชอบการถ่ายทำลองเทคแบบที่ไม่มีการตัดและก็มีสองช็อตในหนัง W.E. นั้นเธอทำได้ยาวกว่า 5 นาที โดยที่ไม่มีการตัด “ทุกอย่างก็ออกมาอย่างงดงาม” เธอกล่าว
             คอนเซ็ปคือความรัก อาจเปลี่ยนโลกไม่ได้ แต่ความรักทำให้โลกหันกลับมามองได้  มาดอนน่า กล่าวถึงหนังว่า เธอถูกดึงดูดจากเรื่องราวของหนังอย่างมากเนื้อเรื่องภาพยนตร์ที่ถ่ายทอดตำนานรักแท้แห่งศตวรรษที่ 20  เธอประทับใจตรงจุดเริ่มต้นชีวิตรักระหว่าง วาลลิส และ เอ็ดเวิร์ด
          “คุณไม่มีทางเข้าใจหรอกว่า มันลำบากแค่ไหนกับการมีความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก”  วาลลิส ซิมป์สัน ในหนังเรื่องนี้คือผู้กล่าวคำคำนี้ทำให้เธอประทับใจมาก W.E (หยุดโลกไว้ที่ “รัก” “เธอ”) นำแสดงโดย เจมส์ดีอาห์ซี่ย์ แอนเดรียไรซ์โบโรห์   แอบบี่ย์คอร์นิชและออสการ์ไอแซ็ค  
                          
              

 ขึ้นรับรางวัลลูกโลกทองคำในสาขาเพลงประกอบยอดเยี่ยม Masterpiece ในหนัง W.E
           
             หนังได้รับการคัดเลือกเข้าชิง 2 รางวัลในสาขาเพลง และดนตรีประกอบยอดเยี่ยมก่อน หลังจากนั้นเธอก็ได้รับรางวัล เพลงประกอบยอดเยี่ยม มันคุ้มค่ากับการใช้เวลา 1 ปีในการแต่งเพลงของเธอคือเพลง  Masterpiece  ซึ่งเป็นเพลงที่เธอแต่งเองและขับร้องเอง และเมื่อถึงวันที่ประกาศความเก่งกล้า อย่างมีศักดิ์ศรี เธอขึ้นรับรางวัลลูกโลกทองคำครั้งที่ 69
          ในสาขาเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง W.E (ยอดเยี่ยม (Best Original Song ) ในวันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม ค.ศ.2012 (จันทร์ที่16 ม.ค. 2555) ที่นครลอสแองเจลิส ซึ่งเป็นเพลงในหนัง W.E ที่เธอสร้างและกำกับด้วยตัวเองอีกด้วย เธอกล่าวว่า
                  “เรื่องของการใช้หัวใจทำอะไร ๆ  ฉันก็ไม่น้อยหน้าใครเหมือนกัน ฉันอยากสร้างภาพยนตร์เรื่อง W.E ก็เพราะความรักของพวกเขาเป็นความรักที่ฉันไม่เคยได้จากใคร เพราะฉะนั้นฉันคิดว่ามันคงดีถ้ามีใครรักเราได้มากเหมือนกับที่เขา (เจ้าชายเอ็ดเวิร์ดที่ 8 ) รักเธอ(วาลลิส ซิมสันป์ ” มาดอนน่าเปิดใจแบบไม่แคร์สื่อหลังจากรู้ว่า W.E. ได้เข้าชิง 2 รางวัลลูกโลกทองคำ
"มันเป็นเรื่องดีในการได้กำหนดชะตาชีวิตของตัวเอง
และรู้ว่าคุณไม่ต้องใช้ชีวิตตามแบบแผนหรือความคาดหวังของคนอื่น
ฉันอยากให้ผู้หญิงทุกคนรู้ว่า ไม่มีใครคนไหนจะทำให้
เราอ่อนแอได้ ถ้าหัวใจเราไม่ยอมรับ"
              มาดอนน่าได้ศึกษาจดหมายรักที่ เอ็ดเวิร์ด เขียนหา วอลลิส์ โดยใช้ชื่อย่อว่า W.E. (ซึ่งได้นำมาเป็นชื่อหนัง) ที่ได้เก็บรักษาไว้ และไม่ถูกนำมาเปิดเผย ให้คนทั้งโลกได้รู้ว่า เบื้องหลังรักแท้ที่ยิ่งใหญ่ จะมีคำว่าเสียสละ ซ่อนอยู่เสมอ มาดอนน่า
                มีโอกาสอ่านจดหมายที่ เอ็ดเวิร์ด เขียนหา วอลลิสส์ ดังนั้นเธอจึงใช้เวลาเขียนบทหนังเรื่อง W.E. 2 ปีและอีก 1 ปี ในการแต่งเพลง Masterpiece เพลงประกอบภาพยนตร์ ด้วยตัวเองทั้งหมดนี้



 แนวคิดของมาดอนน่าที่ตัดสินใจทำหนังเรื่องW.E
           ซึ่งในเรื่อง W.E นี้มาดอนน่า ได้ร่วมเขียนบทกับ อเล็ก คิเชเชียน ที่เป็นผู้กำกับหนังสารคดีของเธอเรื่อง Truth or Dare โดย อเล็กได้พูดถึงการพัฒนาไอเดียของแธอว่า เธอไม่ต้องการทำหนังชีวประวัติโดยตรง เธอได้สร้างตัวละคร วัลลี่ วินโทรป  เป็นตัวละครชาวนิวยอร์ค เพื่อเปิดมุมมองของคนนอก โดยให้รู้จักวัลลี่ และคิดว่าเธอกำลังมองเห็นความรักที่ยิ่งใหญ่
            แต่ก็พบว่ามันอาจจะไม่ใช่รักที่สมบูรณ์แบบเมื่อวัลลี่รู้ว่าทั้ง วาลลิสและเอ็ดเวิร์ด ต้องเสียสละสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเองวัลลี่ จะเป็นผู้เชื่อมเรื่องราวความรักในศตวรรษที่ 20 ผ่านผู้ชม ภายใต้ฉากในท้องเรื่องที่มีการจัดงานประมูลทรัพย์สินของดยุคและดัชเชสแห่งวินเซอร์ ที่แมนฮัตตัน  และเมื่อวัลลี่ วินโทรป เข้ามาในงานประมูลเพื่อที่จะทำความเข้าใจกับเรื่องราว ที่เธอเชื่อว่าเป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งศตวรรษที่ 20
            โดยในงานประมูลนั้นมาดอนน่า ได้เนรมิตฉากหรู ให้เกิดขึ้นในงานประมูล ที่มองดูยิ่งใหญ่เพื่อให้เป็นปรากฏการณ์ ตั้งแต่แขกผู้เข้าร่วมประมูลมากโดยให้มีจำนวนมากนับ 1,000 คน จาก 50 ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ที่สนใจร่วมประมูลทรัพย์สินของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 แห่งอังกฤษและวาลลิส โดยกำหนดให้มียอดประมูลมากกว่า 23.4 ล้านเหรียญ มากกว่าการตีราคาไว้ที่ 7 ล้านเหรียญ ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นถึงพลังที่ไม่เสื่อมคลายระหว่างความรักของทั้งสองและยังอยู่ในความระลึกถึงความรักอันระบือโลกนี้ได้
             เมื่อตัวละครวิลลี่ ได้เห็นข้าวของเครื่องใช้ของ วาลลิส ชีวิตในแต่ละช่วงของเธอก็ได้วิ่งผ่านสมองของเธอเปรียบเสมือนประตูเวลาที่พาผู้ชมก้าวข้ามไปมาระหว่างอดีตและปัจจุบัน ในระหว่างการเข้าร่วมงานประมูล วัลลี่ ก็ได้พบกับยามรักษาความปลอดภัยชาวยูเครน ยูจีนี่ และในไม่ช้า วัลลี่ ก็ได้ค้นพบว่าชีวิตของ วาลลิส ไม่ได้สมบูรณ์แบบอย่างที่คิด แต่มันก็ได้มอบพลังให้เธอในการเผชิญหน้ากับความจริงของชีวิตและเปิดประตูเพื่อรับโอกาสใหม่เข้ามา
            วัลลี่เริ่มออกเดินทางเพื่อค้นหาตัวเอง โหยหาที่จะมีความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน เพราะเธอไม่มีความสุขกับชีวิตคู่ของตัวเอง มันสำคัญในการสร้างตัวละครที่ติดอยู่ในความสัมพันธ์ที่ไร้ความรัก และพยายามหาจุดเปลี่ยนและตามหาความหมายที่แท้จริงของคำว่ารัก
             “พวกเราได้บอกความรู้สึกและไอเดียของตัวเองออกมา และนำมาผสานเรียงร้อยกันให้เป็นเรื่องเดียวกัน จนในที่สุดเราก็พร้อมที่จะทำให้มันเป็นบทภาพยนตร์ ผมใช้เวลา 4 อาทิตย์ในนิวยอร์คกับเธอ และเขียนบทร่วมกับทุกวันจนกลายเป็นบทภาพยนตร์ที่สมบูรณ์”
             ความพยายามทำความเข้าใจชีวิตของ ซิมป์สัน ทำให้ มาดอนน่า คิดได้ว่า "เมื่อฉันค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับเธอ ฉันพบว่า วอลลิส ไม่ได้รับความเป็นธรรมในประวัติศาสตร์ มันไม่เหมือนกับสิ่งที่ฉันคิดไว้ในตอนแรก ซึ่งนั้นทำให้ฉันเชื่อมโยงไปถึงสังคมฮอลลิวู้ดในปัจจุบัน ที่หลายคนถูกตัดสินไปก่อนทำความเข้าใจ เราไม่ได้มองพวกเขาแบบมนุษย์ธรรมดา เราป้ายสีดำหรือขาวให้พวกเขาโดยที่ไม่คำนึงถึงความรู้สึก"
             การพัฒนาเรื่องราว W.E. เพราะความหลงใหลในตัว วาลลิส ซิมป์สัน และเรื่องราวความรักอันทรงพลัง ดยุคและดัชเชสแห่งวินเซอร์ มาดอนน่า ใช้เวลา 2 ปีในการเขียนบทภาพยนตร์ ทั้งเรื่องราวที่อิงจากประวัติศาสตร์และเรื่องแต่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน

               มาดอนน่า ค้นคว้าศึกษาข้อมูลจากหนังสือทุกเล่มที่เกี่ยวกับ วาลลิส และ เอ็ดเวิร์ด ดูสารคดีทุกตัวเกี่ยวกับพวกเขา และได้อ่านจดหมายที่เอ็ดเวิร์ดเขียนถึงวาลลิส และเธอยังศึกษาข้อมูลจากการประมูลทรัพย์สินของดยุคและดัชเชสแห่งวินเซอร์ ในปี ค.ศ.1998 รวมถึงสัมภาษณ์ผู้คนที่รู้จักหรือรู้เรื่องราวระหว่าง วาลลิส และ เอ็ดเวิร์ด         
 เรื่องย่อ
             หนังได้เล่าเรื่องโดยตัวละครชื่อวัลลี่ ที่เข้าไปในงานประมูลของใช้ส่วนตัวของกษัตริย์เอ็ดเวิร์ดที่ 8 กับวาลลิส ซิมป์สัน ซึ่งวัลลี่ได้เข้าไปรับรู้เรื่องราวเป็นตำนานโดยผ่านตัววัลลี่เอง วาลลิสเดิมเธอชื่อ เบสซี วาลลิส วอร์ฟิลด์ เกิดในรัฐเพนซิลวาเนีย ปี 1896 พ่อของเธอเสียชีวิตไม่นานนักหลังจากเธอเกิด เธอและแม่ต้องไปอยู่กับบรรดาญาติ ลุงของ วาลลิส ส่งเธอเข้าเรียนในโรงเรียนที่ดีที่สุดในรัฐแม่รี่แลนด์ และทำให้เธอได้รู้จักกับบรรดาลูกสาวของครอบครัวที่มีฐานะที่สุดในอเมริกา วาลลิส เป็นผู้หญิงที่ดูแลตัวเอง เธอมักแต่งตัวเรียบร้อยและมีความเป็นกุลสตรี
            ในปี ค.ศ. 1916 วาลลิส พบกับสามีคนแรก เอิร์ล วินฟิลด์ สเปนเซอร์ จูเนียร์ นาวิกโยธินสหรัฐ แต่การแต่งงานของทั้งคู่ไม่ได้มีความสุขนัก สเปนเซอร์ เป็นคนติดเหล้า ในปี ค.ศ. 1920 พวกเขาแยกกันอยู่เป็นครั้งแรก ก่อนที่จะกลับมาอยู่ด้วยกันในปี ค.ศ. 1921

           แต่ก็มาแยกกันอีกครั้งในปี ค.ศ. 1922 เมื่อ วินฟิลด์ ต้องไปประจำการอยู่ทางเอเชียตะวันออก วาลลิส เดินทางไปประเทศจีนในปี ค.ศ. 1924 เพื่อที่จะอยู่กับเขา ในปี ค.ศ. 1925 เธอและวินฟิลด์ ก็ได้ย้ายกลับมายังสหรัฐ
           ก่อนที่จะหย่ากันในปี ค.ศ.1927 และก่อนที่การหย่าจะเกิดขึ้นอย่างเป็นทางการ วาลลิส เริ่มมีความสัมพันธ์กับ เออร์เนส ซิมป์สัน นักธุรกิจขนส่งสินค้า ซึ่งเขาเองก็เพิ่งหย่ากับภรรยาคนแรก ก่อนที่ทั้งคู่จะแต่งงานกันในปี ค.ศ. 1928 และย้ายไปอยู่ลอนดอน ธุรกิจการขนส่งสินค้าของ ซิมป์สัน ประสบความสำเร็จ ทั้งคู่ย้ายเข้าไปอยู่ในแมนชั่นหรูและสนุกกับชีวิตของสังคมชั้นสูง
             เอ็ดเวิร์ด เจ้าชายแห่งเวลส์ พบ วาลลิส ครั้งแรกในเดือนมกราคม ปี ค.ศ. 1931 ระหว่างสุดสัปดาห์การล่าสัตว์ เอ็ดเวิร์ด เป็นที่รู้จักจากการเป็นผู้ชายที่ชอบทำทุกอย่าง และยังมีชื่อเสียงในเรื่องการหว่านเสน่ห์ให้ผู้หญิง แต่ถึงแม้ว่าเขาจะมีความสัมพันธ์กับ เลดี้ เธลม่า เฟอร์เนส เขาก็ตกหลุมรัก วาลลิส เข้าอย่างจัง เขาบอกเธอว่า
             "คุณคือผู้หญิงที่เป็นตัวของตัวเองที่สุดเท่าที่ผมเคยพบ"
           พวกเขาเจอกันในงานสังคมเรื่อยมา จนถึงปี ค.ศ. 1934 วาลลิสก็ได้กลายเป็นคู่รักของเขา และ มีความสุขเมื่อได้อยู่กับ เอ็ดเวิร์ด ฉันคิดว่าเธอไม่นึกว่ามันจะยืนยาวอย่างที่เป็นในขณะเดียวกัน เอ็ดเวิร์ด พบว่ามันเป็นเรื่องน่าแปลกใจที่เธอเป็นผู้หญิงที่พูดตามที่คิด และไม่รู้สึกประหม่าเมื่ออยู่กับเขา ฉันพยายามจับอารมณ์ขันของเธอ และความรู้สึกเหมือนคนฐานันดรเดียวกันระหว่างเธอกับเขา วาลลิส เป็นผู้หญิงที่มีไหวพริบ ตลก และยังทำมาร์ตินี่ได้สุดยอด
             ถึงแม้ วาลสิส จะไม่มั่นใจว่าความสัมพันธ์นี้ยั่งยืนหรือไม่ แต่เป็นเรื่องที่ชัดเจนว่า เอ็ดเวิร์ด ที่เคยมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงที่แต่งงานแล้วมาหลายคน มีความจริงจังกับ วาลลิส มากกว่าครั้งไหน ๆ พวกเขาไปพักร้อนด้วยกัน
              เขายังแนะนำเธอกับ ควีนแมรี่ รวมถึงพระบิดา คิงจอร์จ ที่ 5 ซึ่งไม่พอพระทัยกับการตัดสินใจของเขา ซึ่งทำให้ภาพลักษณ์ของราชวงศ์ต้องมัวหมอง
               วาลลิส ต้องการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของ เอ็ดเวิร์ด มากขึ้นเรื่อย ๆ "เธอสนใจในสิ่งที่เขาทำ เธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่ให้ความสนใจโลกที่เขาอยู่ ซึ่งนั้นเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เขาสนใจเธอ ถ้ามองจากภายนอก หลายคนอาจเห็นว่าเขาประพฤติตัวไม่เหมาะสม
             และคิดว่าเธอต้องการครองอำนาจ แต่เมื่อมองถึงการพัฒนาที่ลึกไปกว่านั้น ฉันคิดว่าเธอเปิดให้เขาได้เห็นหลายสิ่งหลายอย่างที่ขาดหายไปในชีวิต"
             เดือนมกราคม ปี ค.ศ. 1936 คิงจอร์จที่ 5 พระบิดาของเอ็ดเวิร์ด ชิ้นพระชมน์ทำให้เขาได้รับการแต่งตั้งเป็น คิงเอ็ดเวิร์ดที่ 8 ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและ วาลลิสจึงกลายเป็นปัญหา เพราะในขณะนั้นศาสนาคริสต์ นิกายเชิร์ช ออฟ อิงแลนด์ กำหนดไม่ให้คนที่หย่าแล้วแต่งงานใหม่
            และในขณะนั้น วาลลิส ก็ยังแต่งงานอยู่กับ ซิมป์สัน ระหว่างที่เธอมีความสัมพันธ์กับ เอ็ดเวิร์ด แม้ว่าเธอจะหย่าอย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ที่กษัตริย์ของอังกฤษจะอภิเษกสมรสกับแม่ม่ายชาวอเมริกัน
               พิธีการสถาปนาใกล้เข้ามา เอ็ดเวิร์ด ได้รับคำแนะนำจาก สแตนลี่ย์ บอลด์วิน นายกรัฐมนตรีของอังกฤษในขณะนั้น ที่บอกว่าให้ไตร่ตรองความสัมพันธ์ของเขา ในขณะที่คำสั่งเสียของพระบิดาก็ยัง  ตามหลอกหลอนเขา "ให้จำสถานะของตัวเองเอาไว้"
             เอ็ดเวิร์ด พยายามเกลี้ยกล่อมให้ราชวงศ์ของเขายอมรับ วาลลิส แต่มันก็ไม่เป็นผล ไม่มีทางที่ วาลลิส จะเป็นราชินีที่เหมาะสม กระแสตอบรับจากสังคมบอกว่า วาลลิส ถูกมองว่าเป็นพวกปีนป่ายฐานะทางสังคม ที่ต้องการเอ็ดเวิร์ด
            เพราะสถานะและความร่ำรวยแต่ถึงจุดนี้ วาลลิส ก็พร้อมที่จะยุติความสัมพันธ์ เธอต้องการให้ เอ็ดเวิร์ด ขึ้นครองราชย์โดยไร้มลทิน แต่กษัตริย์เอ็ดเวิร์ดได้ประกาศเอาไว้ว่า "เราจะแต่งงานกับ ซิมป์สัน บนบัลลังก์หรือไม่ก็ไม่ครองราชย์เลย" นอกจากแรงกดดันจากนายกรัฐมนตรี ราชวงค์ และที่ปรึกษา แต่ เอ็ดเวิร์ด ก็ได้ตัดสินใจไปแล้ว
             จนในที่สุดเดือนธันวาคม ปี ค.ศ. 1936 เขาก็ได้แถลงการณ์ต่อหน้าประชาชนว่า เขาเลือกความรักแทนบัลลังก์
               วาลลิส และ เอ็ดเวิร์ด ได้เขียนจดหมายถึงกันตลอดความสัมพันธ์ จดหมายเหล่านี้ถูกนำมาใช้ถ่ายทอดในหนังและก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นของชื่อหนัง W.E. ที่ย่อมากจากตัวอักษรแรกของชื่อของทั้งคู่ ที่จะลงเอาไว้ท้ายจดหมาย อะไรเป็นแรงจูงใจ เป็นเพราะแรงกดดันหรือความรัก ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงได้ทำให้เขาเสียสละครั้งยิ่งใหญ่ ฉันอยากรู้ตัวตนของเธอให้มากกว่านี้
             มาดอนน่า สรุปถึงการสร้างเรื่องราวทั้งสองของ W.E. ว่า "ในตอนสุดท้ายของหนัง มันถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นชีวิตใหม่ของ วัลลี่ เธอพบว่าในโลกนี้ไม่มีรักที่สมบูรณ์แบบหรอก
             แต่ถึงแม้รักของ วาลลิส และ เอ็ดเวิร์ด จะไม่สมบูรณ์แบบ มันก็ยังคงมีความรักระหว่างกันอยู่ ฉันคิดว่าความรักนั้นล้วนต้องมีการประนีประนอม นั้นคือสารที่ฉันอยากจะพูดในหนัง 
              W.E.  (วี) ตำนานรักระหว่างสาวสวยชาวอเมริกันที่มีความคิดล้ำสมัยและเคยผ่านการหย่ามาแล้ว 2 ครั้ง วอลลิส ซิมป์สัน และกษัตริย์ เอ็ดเวิร์ดที่ 8 แห่ง อังกฤษ เป็นรักแท้ที่ผู้หญิงทั้งโลก ไม่อยากลืมแต่ คนทั่วไปในอังกฤษกลับไม่อยากจดจำ
            สำหรับหนังเรื่องนี้เมืองไทยนำเข้าโดยสหมงคลฟิล์มเข้าฉายในเดือนกุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 2012  สามารถทำเงินได้ในระดับหนึ่ง
เรื่องเล่าระหว่างคนดัง “มาดอนน่ากับแองเจลิน่าโจลี่
  


              เพราะความดังของทั้งคู่แองเจลิน่า โจลี่ กับมาดอนน่า ดาราและนักร้องดังของฮอลีวู้ด ได้อยู่ในความสนใจของคนทั้งโลก เมื่อทั้งสองคนกลายเป็นคู่แค้น ขมิ้นกับปูนหรือลิ้นกับฟันกันไป ดังนั้นจึงมีเรื่องเล่าสนุก ๆ  เพราะก่อนการประกาศผลรางวัลลูกโลกทองคำปี  ค.ศ. 2012 ที่มาดอนน่าเธอคือหนึ่งในศิลปินที่ได้รับรางวัล ดังกล่าวแล้วนั้น
             เพราะเมื่อแองเจลิน่า โจลี่ ได้ลองขึ้นแท่นเป็นผู้กำกับครั้งแรกในชีวิตของเธอหลังจากแสดงภาพยนตร์เพียงอย่างเดียว โดยเธอทดลองงานกำกับภาพยนตร์เรื่อง  “In the Land of Blood and Honey”  ส่วนมาดอนน่าได้สร้างหนังเรื่อง  “W.E.  โดยมาดอนน่าลุ้นชิงรางวัลสาขาดนตรีและสาขาด้านเทคนิค ส่วน  In the Land of Blood and Honey”  ลุ้นชิงสาขาภาพยนตร์ต่างประเทศ โดยแองจี้ไม่พลาดที่จะจิกกัดมาดอนน่า ทุกครั้งที่มีโอกาส เพราะแองจี้มองว่า มาดอนน่า เป็นพวกน่ารำคาญและวอกแวกจากงาน ของตัวเองซึ่งเธอบอกว่ามาดอนน่าไม่ได้มีพรสวรรค์ด้านงานภาพยนตร์ และภาพยนตร์เรื่อง W.E. ก็เป็นอะไรที่น่าหัวเราะมาก
             ทั้งคู่ตกเป็นข่าวว่าไม่ชอบขี้หน้ากัน การที่โจลี่ไม่กินเส้นและรำคาญกับมาดอน เพราะช่วงปี ค.ศ. 2006 มาดอนน่า ไปรับเดวิด เด็กชาวมาลาวี มาเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม ด้วยการรวบรัดตัดความขั้นตอนทางกฎหมายต่าง ๆ เพราะการใช้ความเป็นดาราดัง ทำให้โจลี่  ที่ทำงานเป็นทูตสันถวไมตรีให้องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ไม่พอใจที่กระบวนการต่าง ๆ ดูจะไม่ถูกต้องตามกฎ  
             แต่งานไม่กินเส้นกันนี้วัดกันที่ใครเก็บอาการได้ดีกว่าย่อมชนะ ซึ่งมาดอนน่า เธอเลือกวางตัวดี ถึงขนาดติดต่อไปหาแองจี้ด้วยตัวเองเพื่อคุยกันเรื่องการทำหนัง และบอกว่าพวกเธอน่าจะมาคุยเรื่องการสร้างหนังกัน แต่แองจี้มองไม่เห็นว่าการคุยกันจะได้อะไรขึ้นมา
 มาดอนน่าศิลปินนักร้องชื่อกระฉ่อนโลก
กับอีกความสามารถหนึ่งคือเป็นนักเขียน
       
เธอได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีในฐานะนักเขียน โดยเปิดตัวหนังสือเล่มแรก ชื่อชุดกุหลาบอังกฤษ ( 5 เล่ม) พร้อมกันทั่วโลกเมื่อวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2546 หนังสือของมาดอนน่าเป็นหนังสือนิทานที่เด็กทั่วโลกต่างชื่นชอบและรอคอย แปลเป็นภาษาต่าง ๆ กว่า 30 ภาษา สำหรับเมืองไทยได้แปลเป็นภาษาไทยครบชุดโดยใช้คำว่า ชุดนิทานมาดอนน่า  เรื่อง กุหลาบอังกฤษ  ตลอดจนชุดนิทานมาดอนน่า อื่น  ๆ อีก คือ แอปเปิ้ลของคุณพีบอดี้  ยาคอฟกับขโมยทั้งเจ็ด   การผจญภัยของอับดี    ความสุขของล็อตซ่า เดอ คาช่า  
.        สำหรับหนังสือสำหรับเด็ก The English Roses ในปี พ.ศ. 2546  ที่เธอเขียนทำลายสถิติโลกในฐานะหนังสือประกอบภาพสำหรับเด็กที่จำหน่ายออกได้เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์
         ตรงกันข้ามกับหนังสือ Sex Book  ที่ถูกนักวิจารณ์สับแหลกอย่างหนัก สื่อก็รับไม่ได้ ในปี ค.ศ1992 มาดอนน่าออกหนังสือ Sex ที่รวบรวมภาพโป๊ทั้งของตัวเธอเองและคนดังมากมายหนังสือเล่มนี้ถูกวิจารณ์ในแง่ลบและถูกด่าอย่างมาก แฟน ๆ มาดอนน่าบางคนรับไม่ได้จนถึงขั้นเผาซีดีเลยก็มี แต่ในด้านยอดขายกลับกลายเป็นหนังสือที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก จนต้องพิมพ์ครั้งที่ 2 ภายในวันนั้นเลย ทางด้านอัลบั้มเพลง Erotica ที่ออกพร้อม ๆ กับหนังสือเล่มนี้ก็ขายได้ถึง 2 ล้านก๊อปปี้

อัลบั้มทั้งหมดของmadonna[แก้]

                                          





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น